| ความพร้อมของผมในการเสนอตัวครั้งนี้
                 เมื่อมีการสรรหาคณบดีสมัยที่แล้ว  ได้มีประชาคมส่วนหนึ่งเสนอให้ผมลง Candidate คณบดีด้วย แต่ผมก็ตอบปฏิเสธไป  ด้วยเหตุผลว่า ผมยังไม่พร้อม และควรให้โอกาสท่านคณบดีท่านเดิมหรือ  Candidate ท่านอื่นสมัยนั้นที่มีทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิดีกว่าผมได้มีโอกาสทำงานอย่างราบรื่นในความคิดผมตอนนั้นคือ  ตามหลักสากลแล้วตำแหน่งคณบดี เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ  เป็นตัวแทนของประชาคมทั้งคณะในการดำเนินกิจกรรมต่างๆทั้งในและต่างประเทศ  ดังนั้นต้องมีความพร้อมทั้งแง่คุณวุฒิและวัยวุฒิและเป็นที่ยอมรับของประชาคม  ดังนั้นผมจำเป็นต้องบริหารจัดการพันธกิจพื้นฐานของตนเองให้สำเร็จได้ก่อน  พันธกิจที่ผมว่านั้นก็คือ การเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการในระดับสูงสุดที่ผมมุ่งหวัง  และการบริหารจัดการ Lab  หรือหน่วยวิจัยของตนเองให้บรรลุมรรคผลตามหลักสากล  เพราะหน่วยวิจัยก็คือแบบจำลองคณะนั่นเองซึ่งต้องมีองค์ประกอบของนักศึกษาทุกระดับ  กลุ่มอาจารย์และนักวิจัย เงินทุนและระบบการบริหารจัดการ รวมถึงการบริหารความเสี่ยง  และการบริการสังคม ปัจจุบันหน่วยวิจัยที่ผมดูแลคือ Research Center  of Microwave Utilization in Engineering (R.C.M.E) มีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารนานาชาติไม่น้อยกว่า  12 เรื่องต่อปี มีผลงานยื่นจดสิทธิบัตรมากกว่า 10 รายการ และให้บริการแก่สังคมกว่า  80 โครงการ และในปีการศึกษาที่ผ่านมาสามารถผลิตบัณฑิตระดับปริญญาเอกได้ถึง 5 คน (ภายใต้ทุนสนับสนุนจากโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก:  คปก. และทุนสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา: สกอ.) และที่ขาดไม่ได้คือการบริหารครอบครัวและบุพการีของผมเองซึ่งได้กระทำอย่างต่อเนื่องไม่ตกขาดบกพร่อง  จวบจนถึงปัจจุบันนี้ผมสามารถบริหารจัดการพันธกิจพื้นฐานของตนเองดังที่กล่าวข้างต้นได้สำเร็จแล้วตามเจตนารมณ์ทุกประการ  ถึง ณ ขณะนี้ผมมีความมั่นใจและสามารถตอบได้ว่า ผมมีความพร้อม ที่จะรับอาสาเข้ามาทำงานให้กับคณะฯอย่างทุมเท  และสามารถที่จะนำเอาประสบการณ์ทั้งหมดมาประยุกต์ใช้เพื่อการบริหารคณะฯ  ให้เจริญรุดหน้ายิ่งขึ้นไป
 มีคณาจารย์บางกลุ่มทั้งที่กล่าวกับผมโดยตรงหรือมีการพูดคุยในวงแคบว่า ภาพลักษณ์ของอาจารย์ผดุงศักดิ์นั้นดูจะเป็นนักวิจัยสุดโต่ง แล้วจะมาทำงานบริหารคณะให้สำเร็จได้แน่หรือ? คำถามนี้เป็นคำถามอมตะสำหรับตัวผมมาอย่างยาวนาน  ผมจึงขออนุญาตกล่าวแจ้งในจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ว่า
 หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า  ครึ่งชีวิตการทำงานของผมนั้น เป็นการทำงานในภาคเอกชนมาก่อนหลายแห่งด้วยกัน ผมเพิ่งมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เพียงแค่  ๘ ปีกว่า เท่านั้นเอง (ไม่นับช่วงเวลาศึกษาต่อระดับปริญญาเอก 4 ปี) การทำงานในภาคเอกชนของผมก่อนที่จะลาออกมาเป็นอาจารย์นั้น  ผมได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทในเครือของ บริษัท ปตท.  การได้มีโอกาสทำงานในตำแหน่งผู้บริหารนั้น ทำให้ผมมีโอกาสได้เรียนรู้หลักการบริหารองค์กรทั้งทางด้านการบริหารเงิน  บริหารคน บริหารเทคโนโลยี และที่สำคัญที่สุดคือการบริหารความเสี่ยง (Risk Management) จากความรู้และประสบการณ์ตรงอันนี้  ผมได้นำมาใช้เป็นแนวทางเสมอมาในการทำงานและดำเนินการบริหารจัดการภารกิจที่ผมเคยได้รับมอบหมาย  จนลุล่วงอย่างมีประสิทธิผลทุกกิจกรรม
 เช่นเดียวกัน ในระหว่างที่ผมปฏิบัติงานในสถานะอาจารย์ของคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ผมก็ได้ปรับตัวเรียนรู้พร้อมกับใช้ประสบการณ์ที่ได้จากการทำงานภาคเอกชนมาผสมผสานจน  ทำให้ผมสามารถดำเนินตามแนวทางความมุ่งหมายได้แทบทุกประการ
 ในระหว่างที่ปฏิบัติงานที่คณะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  ผมได้รับการทาบทามจากองค์กรต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ด้วยค่าตอบแทนก้อนโตเพื่อเป็นค่า Consult แต่ผมก็ได้ปฏิเสธไปในทุกโอกาสด้วยเหตุผลที่ว่า ผมอยากทุ่มเทการทำงานแบบ Full  time ให้แก่คณะฯดังนั้นผมจึงพิจารณารับทุนเฉพาะที่เป็นลักษณะ Academic  Research โดยเฉพาะทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นต้นธารของการสร้างผลงานวิจัยโดยเชื่อมกลไกการพัฒนานักศึกษาควบคู่ไปด้วย  ในการมีส่วนร่วมช่วยเหลือคณะฯนั้น ในช่วงที่ผมเพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาเอกคือปี  พ.ศ. ๒๕๔๖ ก็ได้รับเกียรติจากท่านคณบดีตอนนั้นคือรศ.ดร. วิโรจน์ บุญญภิญโญ  เชิญเข้าร่วมเป็นทีมบริหารในตำแหน่งผู้ช่วยคณบดี-รองคณบดีฝ่ายการนักศึกษา  และในเวลาต่อมา ได้เปลี่ยนไปทำหน้าที่ในตำแหน่งรองคณบดีฝ่ายวิจัยพร้อมๆกับทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการบัณฑิตศึกษาระดับภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลไปด้วย   ซึ่งผลการปฏิบัติงานในครั้งนั้น  ผมได้ดำเนินการได้ครบถ้วนตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย กระนั้นก็ตามแม้ว่าจะมีภารกิจด้านบริหารเพิ่มขึ้นมา  แต่ผมก็ไม่ได้ละเลยที่จะทุ่มเทงานการสอนพร้อมกับการทำงานวิจัยไปด้วย  ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องบริหารเวลาของผมในแต่ละวันให้มีประสิทธิภาพเพื่อปฏิบัติภารกิจทุกๆ  ด้านมิให้มีข้อบกพร่อง แม้กระทั่งผมได้พ้นตำแหน่งบริหารงานคณะมาแล้วหลายปี  ผมก็ยังเฝ้าติดตามดูพัฒนาการของคณะเราตลอดเวลาในทุกมิติและมีข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ประกอบในทุกด้าน ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่า  ผมเป็นคนหนึ่งในคณะที่มีความเข้าใจและรู้จักคณะมากที่สุดในยุคปัจจุบัน
 ในส่วนของมหาวิทยาลัยนั้น  ผมก็ได้มีส่วนช่วยเหลือมาตลอดในหลายปีที่ผ่านมาซึ่งประกอบด้วยมากมาย  เช่น เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยประเภทผู้แทนคณาจารย์กรรมการ TU-BI และอื่นๆ และล่าสุดมหาวิทยาลัยก็แต่งตั้งผมเป็นคณะทำงานที่สำคัญๆ ของมหาวิทยาลัย  อาทิเช่น
 
            
              คณะอนุกรรมการพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพวารสารทางวิชาการ  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นคณะกรรมการจัดตั้งศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อการวิจัย  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นคณะกรรมการสถาบันภาษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นคณะกรรมการกำหนดแนวทางการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการ  (Center  of Excellence-CoE) เป็นคณะทำงานมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ (National Research University:  NRU)เป็นคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานวารสารเอเชียตะวันออกศึกษา  และอื่นๆ  คณะทำงานดังกล่าวข้างต้นนี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ของพวกเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้   นอกจากงานมหาวิทยาลัยแล้วผมยังได้รับโอกาสเป็นคณะทำงานในองค์กรวิชาชีพและองค์กรวิชาการต่างๆมากมายเช่น  เป็นกรรมการและผู้ริเริมก่อตั้งสมาคมวิศวกรเครื่องกลแห่งประเทศไทย (TSME)  เป็นอนุกรรมการฝ่ายวิชาการของสภาวิศวกร  เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการของวุฒิสภา เป็นคณะกรรมการฝ่ายประเมิน...........ของ  สกว.  เป็นคณะกรรมการบ่มเพาะนักประดิษฐ์รุ่นใหม่ของสภาวิจัยแห่งชาติ    เป็นคณะกรรมการประเมินผลงานทางวิชาการของ  สกอ. เป็นต้น   การทำงานในลักษณะหลากหลายมิติแบบ  360 องศาของผม ทำให้ผมได้เรียนรู้ที่จะผสมผสานและบูรณาการแนวความคิดและแนวปฏิบัติ  สำหรับการดำเนินงานของผมในทุกภารกิจจนลุล่วงไปด้วยดีตลอดมา ซึ่งประสบการณ์หลายด้านของผมดังที่กล่าวมาข้างต้นนี้  จะได้ถูกนำมาใช้ในการบริหารจัดการคณะวิศวกรรมศาสตร์ของเราอย่างเต็มประสิทธิภาพ   ถ้าหากท่านทั้งหลายให้โอกาสแก่ผม          top |